
คปภ. ปรับเกณฑ์ลงทุน ปลดล็อก 2 แสนล้านบาทเข้าหุ้นไทย: จุดเปลี่ยนสภาพคล่อง SET
คปภ. ประกาศปรับลดค่าเผื่อความเสี่ยง (Risk Charge) สำหรับการลงทุนในหุ้น หวังดึงเม็ดเงินกว่า 2 แสนล้านบาทจากบริษัทประกันเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องที่ตึงตัว นี่คือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกสถาบันการเงินโดยตรง
คปภ. ปรับเกณฑ์ลงทุน ปลดล็อก 2 แสนล้านบาทเข้าหุ้นไทย: จุดเปลี่ยนสภาพคล่อง SET
วันที่: 23 ธันวาคม 2568 หัวข้อ: การปฏิรูปกฎเกณฑ์ประกันภัยและผลกระทบต่อตลาดทุน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ด้วยการประกาศปรับลด "ค่าเผื่อความเสี่ยง" (Risk Charges) สำหรับการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทประกันภัย ความเคลื่อนไหวนี้ถูกประเมินว่าจะสามารถปลดล็อกเม็ดเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท เข้าสู่ตลาดหุ้นไทย (SET) ซึ่งถือเป็นมาตรการกระตุ้นสภาพคล่องที่ตรงจุดที่สุดในช่วงปลายปี 2568
ท่ามกลางภาวะตลาดที่เผชิญความท้าทายด้านสภาพคล่องมาอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจของ คปภ. ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนตัวเลขทางบัญชี แต่เป็นการใช้นโยบายเพื่อชี้นำเงินทุนสถาบัน (Institutional Capital) ให้ไหลกลับเข้ามาในระบบ ซึ่งนักลงทุนและเจ้าของกิจการจำเป็นต้องทำความเข้าใจกลไกนี้เพื่อเตรียมรับมือกับกระแสเงินทุนระลอกใหม่
สรุปประเด็นสำคัญ (TL;DR)
- สิ่งที่เกิดขึ้น: คปภ. ประกาศลดค่าเผื่อความเสี่ยง (Risk Charge) สำหรับการถือครองหุ้นของบริษัทประกัน
- ผลกระทบ: คาดการณ์ว่าจะเปิดทางให้เม็ดเงินกว่า 2 แสนล้านบาทไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย
- เป้าหมาย: เพิ่มสภาพคล่องและเสถียรภาพให้กับ SET ในระยะยาว
- ความเสี่ยง: ยังไม่มีกำหนดการบังคับใช้ที่ระบุวันที่ชัดเจนในประกาศเบื้องต้น
เจาะลึกกลไก: ทำไมการลด Risk Charge ถึงเพิ่มเงิน 2 แสนล้าน?
เพื่อที่จะเข้าใจว่าตัวเลข 2 แสนล้านบาทมาจากไหน เราต้องเข้าใจกลไกการดำรงเงินกองทุนของบริษัทประกัน (Risk-Based Capital หรือ RBC) ในอดีต หากบริษัทประกันต้องการลงทุนใน "หุ้น" ซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยง คปภ. จะกำหนดให้บริษัทต้องสำรองเงินกองทุนไว้ในสัดส่วนที่สูง (High Risk Charge) เพื่อรองรับความผันผวน กฎเกณฑ์นี้ทำให้การถือครองหุ้นมี "ต้นทุน" ที่แพงสำหรับบริษัทประกัน
การประกาศลดค่าเผื่อความเสี่ยงในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการ "ลดราคา" ต้นทุนในการถือครองหุ้น เมื่อบริษัทประกันไม่ต้องกันเงินสำรองไว้มากเท่าเดิมสำหรับการลงทุนในจำนวนเท่าเดิม พวกเขาก็จะมีกระแสเงินสดเหลือ (Free Capital) เพื่อนำไปลงทุนเพิ่ม หรือสามารถเพิ่มพอร์ตหุ้นได้โดยไม่กระทบต่อสถานะความมั่นคงทางการเงิน
Insight: การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ฝั่ง "อุปสงค์" ของสถาบันโดยตรง หากค่าเผื่อความเสี่ยงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นไทยจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดขึ้นทันทีในงบดุลของบริษัทประกัน เมื่อเทียบกับพันธบัตรหรือสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า
นัยสำคัญต่อตลาดหุ้นไทย (Why It Matters)
ตัวเลขประเมิน 200,000 ล้านบาทจากรายงานของ Kaohoon International เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 นั้น หากไหลเข้าสู่ตลาดจริง จะมีขนาดใหญ่พอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อดัชนี SET ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ และมูลค่าการซื้อขายเบาบาง
การที่เงินทุนก้อนนี้มาจาก "สถาบันภายในประเทศ" (Domestic Institutions) มีความสำคัญยิ่งกว่าเงินทุนต่างชาติ (Foreign Fund Flow) เพราะเงินประกันมักเป็นการลงทุนระยะยาว (Long-term Horizon) ซึ่งจะช่วยสร้างฐานแนวรับที่แข็งแกร่งให้กับตลาด ลดความผันผวนจากการเก็งกำไรระยะสั้น
สิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
- ไม่ใช่เงินสดทันที: ตัวเลข 2 แสนล้านบาทคือ "ศักยภาพ" (Potential Capacity) ไม่ใช่การอัดฉีดเงินสดทันทีในวันเดียว การไหลเข้าจะเป็นไปในลักษณะทยอยสะสม (Gradual Accumulation)
- การเลือกหุ้น: บริษัทประกันมักมีเกณฑ์การเลือกลงทุนที่เข้มงวด เน้นหุ้นที่มีปันผลสม่ำเสมอและพื้นฐานแกร่ง (Dividend & Value Stocks) ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์ก่อนหุ้นเก็งกำไร
สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป (What to Watch)
- ประกาศราชกิจจาฯ: รอความชัดเจนเรื่องวันที่มีผลบังคับใช้ (Effective Date) จากเอกสารทางการ
- ปฏิกิริยาของกองทุน: ดูว่าผู้จัดการกองทุนประกันภัยเริ่มปรับพอร์ต (Rebalance) เมื่อไหร่
- รายละเอียดเกณฑ์: ต้องดูว่าการลด Risk Charge นี้ครอบคลุมหุ้นทุกประเภท หรือเฉพาะหุ้นใน SET50/SET100
ข้อมูลที่ยังต้องรอการยืนยัน (Unconfirmed)
แม้จะมีรายงานข่าวเรื่องการปรับลดเกณฑ์ แต่รายละเอียดทางเทคนิคฉบับสมบูรณ์และกรอบเวลาที่ชัดเจนยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ นักลงทุนควรติดตามประกาศฉบับเต็มจาก คปภ. เพื่อยืนยันเงื่อนไขที่แท้จริง
บทสรุปสำหรับนักลงทุน
การขยับตัวของ คปภ. ครั้งนี้คือสัญญาณบวกที่จับต้องได้ที่สุดในรอบปีสำหรับสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทย การปลดล็อกพันธนาการด้านเงินกองทุนจะทำให้บริษัทประกันกลายเป็นผู้เล่นหลัก (Key Player) ที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น หากคุณเป็นนักลงทุน นี่คือจังหวะที่ต้องเริ่มศึกษาหุ้นกลุ่มเป้าหมายของสถาบัน ก่อนที่เม็ดเงินจริงจะเริ่มไหลเข้าสู่ระบบ

